22 พฤศจิกายน 2558

ประโยชน์ กล้วยๆ


ประโยชน์ กล้วยๆ

          จากงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ระบุชัดเจนว่าการรับประทานกล้วยแค่วันละ 2 ลูกจะช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกายได้เทียบเท่ากับการออกกำลังกายถึง 90 นาที เนื่องจากในกล้วย อุดมไปด้วยน้ำตาลจากธรรมชาติรวมถึง 3 ชนิด นั่นก็คือ ซูโครส กลูโคส และฟรุตโทส ซึ่งมีส่วนช่วยในการเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย

          นอกจากนี้แล้วในกล้วยยังอุดมไปด้วยเส้นใยและกากอาหาร และยังวิตามินและแร่ธาตุนา ๆชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ธาตุเหล็ก ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุแมกนีเซียมคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินบี12 และ วิตามินซี เป็นต้น นอกจากนี้ในกล้วยนั้นยังมีวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆมากกว่าผลไม้บางชนิดอย่างเช่น แอปเปิ้ลถึง 2 เท่า โดยมีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีโปรตีนมากกว่า 4 เท่า วิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่าด้วยกัน และการกินกล้วยที่ดีที่สุดคือให้กินเวลาเช้าเพื่อจะช่วยให้ระบบต่าง ๆในร่างกายทำงานได้ดี และการกินกล้วยทุกวันๆละ 2 ผลถือเป็นสิ่งที่ดีและวิเศษมาก ๆ จะกล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้าก็ได้ทั้งนั้น และในกล้วยแต่ละชนิดก็ให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน


กล้วยหอม



- ช่วยในการเลิกบุหรี่
- ลดอาการปวดหัว หงุดหงิด อาการปวดท้องช่วงก่อนมีประจำเดือน
- ลดภาวะโลหิตจาง และลดความดันโลหิต
- ลดการเกิดหลอดเลือดในสมอง


กล้วยไข่ (มีเบต้าแคโรทีนมากที่สุด)



- ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
- ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
- ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

คำแนะนำ – เนื่องจากในกล้วยไข่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับคนที่เป็นเบาหวาน หรือคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก


กล้วยน้ำว้า (มีแคลเซียมสูงที่สุด)



- แก้เลือดออกตามไรฟัน
- ลดอาการท้องเดินแบบไม่รุนแรงได้
- มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก

27 เมษายน 2558

ปั่นไป...ทำไม???

ปั่นไป...ทำไม???


กระแสการปั่นจักรยานดูจะเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะครับ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นแค่เทรนด์แค่ระยะสั้นๆหรือจะคงทนถาวรไปยาวๆ ก็คงต้องดูกันต่อไปเรื่อยๆนะครับ แต่ถ้าไหนๆ เมื่อคิดจะมาปั่นจักรยานกันเพื่อสุขภาพหรือเพื่อกระแสรักษ์โลก เราก็ควรจะต้องรู้ถึงประโยชน์หรือข้อดีที่ได้จากการปั่นกันนะครับ

ประโยชน์ที่ได้จากการปั่นจักรยาน

ด้านการเผาผลาญและทางการแพทย์

จากกการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ สำหรับคนที่มีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ถ้าเดินประมาณ 3 กิโลเมตร/ชั่วโมง (เดินเร็ว) จะใช้พลังงานไป 2.3x60 = 138 กิโลแคลอรี่/การเดิน 1 ชั่วโมง แต่ถ้าขี่จักรยานในอัตราประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็จะเผาผลาญและใช้พลังงานในปริมาณที่พอๆ กับการเดิน 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่นหมายความว่าประโยชน์จากการปั่นจักรยานก็คือการเผาผลาญและการใช้พลังงาน ทำให้ลดอัตราการสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
นอกจากนั้นการปั่นจักรยานอย่างต่อเนื่องในแบบการออกกำลังกายแบบแอโรบิคจะมีผลทำให้หัวใจแข็งแรง กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งการออกกำลังกายแบบแอโรบิคแบบต่อเนื่องนี้ จะช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกายดีขึ้น รวมไปถึงเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจและอวัยวะสำคัญต่างๆในร่างกาย ได้แก่ สมอง ไต ลดการเก็บสะสมไขมันในหลอดเลือดทั่วร่างกาย ดังนั้นจึงสามารถป้องกันภาวะเส้นเลือดตีบตันในอวัยวะสำคัญที่กล่าวข้างต้น
นอกจากนั้นการปั่นจักรยานยังเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่ช่วยระบบการ หายใจ เพิ่มประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในถุงลมปอดให้ดีขึ้นและยังเพิ่มระดับของฮอร์โมนแอนดอร์ฟินที่ช่วยลดความเครียดในร่างกายให้ลดลงได้
การออกกำลังกายโดยการปั่นจักรยานถือเป็นกิจกรรมที่เข้าถึงธรรมชาติที่ดี ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย และการปั่นจักรยานขึ้นลงที่ลาดชันถือเป็นการออกกำลังแบบแอโรบิคที่หนัก เพราะต้องใช้พลังงานมาก เป็นประโยชน์ต่อหัวใจ ในคนที่หัวใจแข็งแรงอยู่แล้วจึงเหมาะที่จะปั่นจักรยานในที่ลาดชัน เพราะจะทำให้หัวใจแข็งแรงมากขึ้นเป็นทวีคูณสมรรถภาพหัวใจและปอดก็จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากมีการปั่นจักรยานเป็นประจำ การปั่นจักรยาน ปีนเขา ไตรกรีฑา เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคหนัก ผู้ที่สามารถเล่นกีฬาประเภทนี้ได้ จำเป็นต้องมีสมรรถนะหัวใจและปอดดีเยี่ยมถึงจะมีควาปลอดภัย
สำหรับประโยชน์โดยตรงของการปั่นจักรยานคือ กล้ามเนื้อให้แข็งแรง เพราะได้ยืดเส้นยืดสาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณเอวสะโพก ทำให้ป้องกันปัญหาปวดกล้ามเนื้อขาได้ดี

ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่เริ่มปั่นจักรยานใหม่ๆ คือ

เบาะที่นั่ง(อาน)

จะต้องเหมาะกับสรีระของร่างกาย ไม่ควรนิ่มมากเกินไป เพราะจะทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อต้นขาได้ แต่ก็ไม่ควรแข็งเกินไปเพราะจะกระแทกกล้ามเนื้อก้นเกิดการบาดเจ็บหรืออักเสบง่ายและทำให้เมื่อยล้าความสูงของเบาะกับขาถีบควรมีความสัมพันธ์กับความยาวของขาของผู้ถีบ เมื่อถีบจนสุดควรให้องศาของเข่า เท่ากับแนวตรงของขาไม่เกิน 150 องศา ไม่เช่นนั้นจะทำให้ปวดกล้ามเนื้อขาและเมื่อยล้าง่าย

ขาเพรียวสวยด้วยจักรยาน

ผู้ที่ปั่นจักรยานเป็นประจำหรือใช้จักรยานบ่อยๆ แล้วมีลักษณะน่องขาที่ใหญ่หรือค่อนข้างใหญ่นั้น ส่วนใหญ่มักมีการเล่นกีฬาอื่นๆรวมด้วยเสมอ ขณะที่ผู้ที่ปั่นจักรยานอย่างเดียวเป็นหลัก กลับมีขนาดน่องเป็นปกติ เพียงแต่แข็งแรงกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย
ในกลุ่มที่ปั่นจักรยานเป็นหลัก และตั้งความสูงของเบาะต่ำกว่ามาตรฐานจนเห็นได้ชัด จะมีแนวโน้มของขนาดน่องค่อนข้างใหญ่ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
ผู้ที่ใช้เกียร์หนักๆในการปั่นเป็นประจำ โดยเฉพาะนักปั่นชายมีขนาดน่องที่โตกว่าพวกที่ปั่นโดยการใช้รอบขาๆสูงและใช้เกียร์ต่ำกว่า เช่นเดียวกับกลุ่มแม่บ้านที่ใช้จักรยานปั่นไปจ่ายตลาดซึ่งจักรยานที่ใช้นั้นค่อนข้างหนัก ทำให้ใช้แรงขามาก แถมยังตั้งเบาะเตี้ยมากด้วย ผลที่ได้ก็คือน่องโตกันแทบทั้งนั้น
-  โดยส่วนใหญ่ นักจักรยานอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นจักรยานเสือหมอบ หรือเสือภูเขา จะมีรูปร่างสวยเพรียวกันทุกคน และจากการใช้แบบสอบถามในหัวข้อว่า นักกีฬาประเภทไหน มีขาสวยที่สุด พบว่า นักจักรยานก็กวาดแชมป์น่องสวยไปเสียทุกที ซึ่งสาวๆก็สามารถเอาไปใช้ได้ จะได้น่องไม่ใหญ่กันนะครับ

ปั่นยังไงให้น่องไม่โต

1. เซทรถให้ถูกต้อง อานต้องสูงพอ เพราะการปั่นแบบอานต่ำจะทำให้น่องโป่งขึ้นแน่นอน
2. อย่าปั่นแบบย่ำบันได แต่ให้ปั่นในลักษณะแบบควงบันได
3. อย่าใช้เกียร์หนักหรือเกียร์สูงๆ นั่นก็คือให้ปั่นด้วยเกียร์เบาๆ ไปเรื่อยๆ แบบไม่หยุด ก็จะทำให้ได้ออกกำลังกายแบบ Aerobic ปั่นสักวันละ 30 -40 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง แค่นี้ก็ดีกับสุขภาพดีขึ้นแล้วครับ

ลดการปวดหัวและไมเกรน

จากผลการศึกษาของศูนย์โรคปวดหัว (Cephalea Headache Centre in Gothenburg) ประเทศสวีเดน ซึ่งทำโดยให้กลุ่มตัวอย่างปั่นจักรยานอยู่กับที่ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 3 เดือนผลที่ได้พบว่า การปั่นจักรยานแบบแรงปานกลาง (ปั่นเร็วจนพูดได้ 4–5 คำก็เริ่มเหนื่อย นาน 30 นาที) เป็นประจำทำให้อาการปวดหัวไมเกรนลงไปได้มากจนถึง 90%
การปวดหัวไมเกรนส่วนใหญ่จะเป็นแบบปวดข้างเดียว ปวดตุ่บๆ และอาจมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย ซึ่งคนไข้ประมาณครึ่งหนึ่งมีอาการทุเลาลงด้วยยาพาราเซตามอล แต่อีกครึ่งหนึ่งไม่ทุเลาด้วยยาดังกล่าว แต่คนไข้เกือบทุกรายบอกว่า อาการปวดลดลงจากที่สังเกตได้คือจำนวนวันที่ปวดลดลง ความรุนแรง (จากหนักเป็นเบา) และการใช้ยาแก้ปวดก็น้อยลง ดังนั้นกลไกที่เป็นไปได้คือ เกิดจากการออกแรง หรือออกกำลังทำให้เกิดการหลั่งสารความสุขที่ชื่อ ”เอนโดฟินส์ (endorphins)” ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยในการแก้ปวด และการศึกษาก่อนหน้านี้ยังพบอีกว่า การออกกำลังกาย เช่น เดิน ว่ายน้ำ ฯลฯ ก็มีส่วนช่วยลดอาการปวดหัวได้เช่นกัน เรื่องที่สำคัญจึงอยู่ที่ประเด็นของการออกแรงหรือออกกำลังที่ไม่ได้ส่งผลดีให้กับหัวใจและปอดเท่านั้น แต่ว่าจะส่งผลดีร่างกายและรูปร่าง รวมไปถึงยังส่งผลให้กับสมองทำงานได้ดีด้วย

และจากการศึกษาอีกรายงานหนึ่งจากสหรัฐฯ ซึ่งทำในคนสุขภาพดีจำนวน 52 คน แล้วนำไปตรวจด้วยเครื่องสแกนสมองพบว่า คนที่ออกแรงหรือออกกำลังเป็นประจำมากที่สุด จะมีสมองส่วนนอกกลีบข้าง (ขมับหรือใบหู / temporal lobe) ฝ่อลง (ตามอายุ) ช้ากว่าคนที่ออกแรงหรือออกกำลังน้อยที่สุด จากการศึกษานี้จึงสนับสนุนแนวคิดเดียวกันกับการศึกษาอื่น ๆ ด้วยคือ การออกแรงหรือออกกำลัง จะไปช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต และพัฒนาการของเซลล์สมองให้ดีขึ้นอีกด้วย

24 เมษายน 2558

วิธีดูแลผิวหน้าร้อน

วิธีดูแลผิวหน้าร้อน


อากาศร้อนๆแบบนี้ เจอแดดทีนี่แทบจะละลายตามแดดกันไปเลยนะครับ Fit to Health ของเราก็เลยไปค้นคว้าหาเคล็ดลับมาฝากคุณๆที่อยากจะดูแลผิวในช่วงหน้าร้อนมาฝากกันครับ โดยก่อนที่จะรู้วิธีดูแลผิว ก็ต้องมาทราบถึงโทษของรังสี UV จากแสงแดดที่เป็นตัวการสำคัญในการทำร้ายผิว และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆกันก่อนนะครับ

ผลเสียของผิวเมื่อเจอรังสี UV หรือแสงแดด

-  เมื่อผิวสัมผัสแสงแดดเป็นเวลาสั้นๆ ก็จะทำให้ผิวหนังไหม้จากแสงแดด มีสีผิวคล้ำลง เนื่องจากการมีกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิวหนัง
-  เมื่อผิวสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้ผิวหนังเกิดการเสื่อมหรือทำให้ผิวหนังแก่เร็ว เช่น ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหนังบางลง เส้นเลือดขยาย เกิดรอยฝ้าและตกกระ เป็นต้น
-  มีความเสี่ยงทำให้เกิดเนื้องอกและมะเร็งผิวหนัง
-  ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานบริเวณผิวหนัง
-  บางคนเกิดเป็นโรคแพ้แสงแดด เช่น โรคลูปัส หรือโรคแพ้แสงแดดที่เป็นพันธุกรรม เป็นต้น
            ดังนั้น เมื่อเราทราบถึงผลเสียของแสงแดดที่มีต่อผิวของเราแล้ว เราควรจะรู้ถึงวิธีการดูแลผิวของเราให้มีสุขภาพที่ดีและมีความแข็งแรงสดใส เปล่งปลั่ง เพื่อต้อนรับหน้าร้อนนี้ ซึ่งจะมีวิธีอะไรบ้างนั้น ตามมาดูกันเลยครับ

วิธีดูแลผิวหน้าร้อน

ทาครีมกันแดด
            สิ่งนี้ถือเป็นอันดับแรกที่ขาดไม่ได้เลยนะครับ เมื่อต้องออกไปเผชิญกับแสงแดดในหน้าร้อนนี้ ซึ่งควรจะต้องเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+  PA+++  ขึ้นไปถึงจะเพียงพอนะครับ เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะสู้แดดแรงๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10:00 – 15:00 น. จะเป็นเวลาที่แสงแดดมีการแผ่รังสี UVA และ UVB สูง หากคุณต้องอยู่กลางแจ้งในช่วงดังกล่าว เป็นเวลานาน จะมีโอกาสผิวไหม้แดดจากแสงแดด แต่ก็ต้องระมัดระวังการทาครีมกันแดดให้ถูกวิธีด้วยนะครับ คือต้องไม่ทาครีมกันแดดอย่างเร่งรีบ และต้องทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง และหลังว่ายน้ำ แม้ว่าจะเป็นแบบกันน้ำ
ใช้มอยส์เจอไรเซอร์
            หน้าร้อนแบบนี้บางคนอาจจะไม่อยากใช้มอยส์เจอไรเซอร์ เพราะเมื่อร้อนแล้วพอทาครีมหรือพวกมอยส์เจอไรเซอร์ อาจจะทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ ครีมไหลเยิ้ม แต่จริงๆแล้วเราต้องบำรุงบำรุงผิวในหน้าร้อนให้เป็นไปตามปกตินะครับ แต่ก็มีทริคเล็กน้อยตรงที่เราต้องเลือกครีมหรือพวกมอยส์เจอไรเซอร์ ที่เหมาะสมสำหรับหน้าร้อน โดยอาจจะเลือกเป็นโลชั่นน้ำนมสูตรเนื้อบางเบา ซึ่งมีลักษณะเนื้อโลชั่นที่สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก ซึ่งช่วยให้ไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ
การดูแลหลังโดนแสงแดด
            ถ้าไม่อยากให้แดดเผาไหม้ผิวหนัง ก็ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดช่วงเวลา 10:00 – 15:00 น. ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องออกไปเลยก็จะดีมาก พยายามอยู่ในที่ร่มให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้แล้ว รู้หรือไม่ว่าหลังการเผชิญแสงแดดอาจทำให้ผิวแห้งกร้านได้ง่าย ดังนั้นจึงควรต้องดูแลผิวหลังถูกแสงแดดด้วยด้วยครีมทาผิว เพื่อลดการระคายเคือง หรือบรรเทาอาการผดผื่นคัน อาการผิวอักเสบจากแสงแดด และช่วยสมานผิวได้ด้วย
มาร์กหน้า

            วิธีดูแลผิวในช่วงหน้าร้อนอีกวิธีหนึ่งคือการมาร์กหน้า ด้วยผลิตภัณฑ์แผ่นมาร์กหน้าที่มีคุณภาพ เนื่องจากในระหว่างวัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ออกไปไหนหรือต้องเผชิญแสงแดดโดยตรง แต่แสงจากหลอดไฟ แสงจากคอมพิวเตอร์ ก็มีผลทำให้ผิวหน้าเกิดริ้วรอย และจุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอได้เช่นกัน ดังนั้นการมาร์กหน้า 15-30 นาที ก็จะช่วยให้ผิวได้ดื่มด่ำกับความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิว ทำให้ได้สัมผัสถึงความผ่อนคลายได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง  แนะนำให้ทำเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง